สมัครสมาชิก / เข้าสู่ระบบ
หรือ
หากคุณยังไม่ได้เป็นสมาชิกกับเรา !
การดำเนินการต่อถือว่าคุณยอมรับ
ข้อกำหนดและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว
เราอาจส่งข่าวสารให้ท่าน ท่านสามารถปิดการรับข่าวสาร
ได้โดยเปลี่ยนการตั้งค่าในบัญชีของท่าน
เราจะไม่ส่งข่าวสารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน
สมัครสมาชิก / เข้าสู่ระบบ
หากคุณยังไม่ได้เป็นสมาชิกกับเรา !
หรือเข้าสู่ระบบด้วย
หรือ
สั่งซื้อทันทีโดยไม่สมัครสมาชิก
การดำเนินการต่อถือว่าคุณยอมรับ
ข้อกำหนดและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว
เราอาจส่งข่าวสารให้ท่าน ท่านสามารถปิดการรับข่าวสาร
ได้โดยเปลี่ยนการตั้งค่าในบัญชีของท่าน
เราจะไม่ส่งข่าวสารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน
ตะกร้าสินค้า
รายการสินค้าที่สั่งซื้อ
ยังไม่มีคำสั่งซื้อ
แนะนำสำหรับคุณ
PRODUCTS
CUSTOMER SERVICE
ABOUT US
PROMOTION
REWARDS
HELPING
สมองล้า ขี้ลืมบ่อย เสี่ยงโรคสมองเสื่อม
สมองล้า ขี้ลืมบ่อย เสี่ยงโรคสมองเสื่อม

อาการขี้ลืมบ่อยนั้นมีหลายแบบ เช่น ลืมวันสำคัญ ลืมวันเกิด ลืมนั่น โน่น นี่ ลืมเพราะไม่มีสมาธิ ลืมเพราะตื่นเต้น ลืมเพราะกำลังทำอะไรหลายอย่างไปพร้อม ๆ กัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก แต่อาการ “ลืม” เหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนถึงการเริ่มต้นของภาวะสมองเสื่อมจากโรค “อัลไซเมอร์” ได้เช่นกัน

ทุกระบบในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตามการเจริญวัยอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะระบบประสาทและสมอง จนเมื่ออายุที่มากขึ้นก็เริ่มเสื่อมถอย เพราะสมองแต่ละช่วงวัยมีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกัน ช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นจะมีการใช้ประสิทธิภาพของสมองได้อย่างเต็มที่ หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ลดลงในช่วงอายุ 45 ปีเป็นต้นไป รวมถึงเริ่มมีการเสื่อมของสมองในช่วงที่อายุมากขึ้น และนำไปสู่การเป็นโรคสมองเสื่อมซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคอัลไซเมอร์ได้

สมองเป็นอวัยวะที่มีหน่วยความจำซึ่งเรียกว่าเซลล์ประสาทจำนวนหลายหมื่นล้านเซลล์ ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ เกือบทั้งหมด รวมไปถึงควบคุมการทำงานของกระบวนการคิด การตัดสินใจ การควบคุมอารมณ์ ควบคุมพฤติกรรม ฯลฯ โดยผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมจะมีอาการความจำเสื่อม กระบวนการทางความคิดบกพร่อง เกิดการตัดสินใจช้า คิดช้า ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ความเฉลียวฉลาดลดลง มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิม ส่วนมากจะมีสภาพแย่ลงคล้ายกลับไปเป็นเด็ก จนในระยะสุดท้ายก่อนเสียชีวิติแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย โดยภาวะสมองเสื่อมนั้นถูกแบ่งสาเหตุของโรคออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 

กลุ่มที่รักษาให้หายได้ หรือไม่ทรุดลงไปอีก พบประมาณถึงร้อยละ 20 ของผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อม โดยมีสาเหตุที่มักเกิดจากโรคทางกาย เช่น เคยป่วยหรือป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน เลือดออกในสมอง เนื้องอกในสมองบางชนิด โรคขาดไทรอยด์ฮอร์โมน และขาดวิตามินบี12 

กลุ่มที่รักษาไม่หายเพียงแต่ช่วยบรรเทาให้ทุเลาพร้อมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พบมากถึงร้อยละ 80 ของผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อม ซึ่งโรคที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มหลังนี้คือ โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) ซึ่งไม่จำเป็นต้องสูงวัยก็เป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ !

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer Disease) เป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคสมองเสื่อมที่พบได้มากถึง 60% - 80% ของกลุ่มผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมทั้งหมดรวมไปถึงผู้สูงอายุ ซึ่งในปัจจุบันยังพบผู้ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์มากขึ้น เนื่องจากโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่มีความเสื่อมถอยของระบบการทำงานของสมอง หรือภาวะเซลล์สมองเสื่อมก่อนวัยอันควร อันมีสาเหตุมาจากโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า *เบต้า-อะไมลอยด์ (beta-amyloid)

*เบต้า-อะไมลอยด์ (beta-amyloid) เกิดจากของเสียที่เกิดจากการสันดาปของเซลล์ (สันดาป คือกระบวนการสร้างหรือใช้พลังงานเพื่อการเจริญเติบโตหรือการทำงานของเซลล์) สะสมเพิ่มมากขึ้น และมีการตกตะกอนนอกเซลล์ประสาทสมอง หรือเข้าไปสะสมในผนังหลอดเลือดในสมองแล้วกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและทำลายเซลล์ประสาทสมองในบริเวณนั้นให้เสียหายหรือตายในที่สุด เบต้า-อะไมลอยด์ยังไปดักจับกับเซลล์สมองหรือทำลายเซลล์สมองในส่วนอื่น ๆ รวมไปถึงการทำให้สารสื่อประสาทอะซีติลโคลีน (Acetylcholine) ที่ส่งผลโดยตรงกับความทรงจำลดลง และทำให้เป็นโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์แม้จะยังมีอายุไม่มาก

ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์
  • ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
  • พันธุกรรม มีคนในครอบครัวเคยป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์มาก่อน
  • โรคดาวน์ซินโดรม ผู้ป่วยโรคดาวน์ซินโดรมนี้มีความผิดปกติของการสะสมของโปรตีนบางชนิด ซึ่งทำให้สามารถเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
  • ได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะ จะเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่าคนทั่วไป
  • มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคซึมเศร้า โรคหลอดเลือดสมอง
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ขาดการออกกำลังกาย นอนหลักไม่พียงพอ สูบบุหรี่ดื่มแอลกอฮอลล์ ฯลฯ

โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงานที่ทุกวันนี้ไม่มีเวลาดูแลตัวเองเลย เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับระบบประสาทและสมอง อันเนื่องมาจากเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายและสมองเริ่มหยุดการพัฒนา เกิดอนุมูลอิสระจำนวนมากที่สมอง ระดับฮอร์โมนเริ่มเสื่อมถอย และเริ่มมีความรู้สึกสมองล้า ขี้ลืมบ่อย ซึ่งในผู้ที่มีเริ่มมีภาวะอัลไซเมอร์นั้นจะไม่ได้มีแค่ความบกพร่องทางด้านความทรงจำเท่านั้น แต่จะรวมถึงด้านอื่น ๆ ด้วย ได้แก่ การใช้ความคิด การตัดสินใจ การทำความเข้าใจต่อสิ่งต่าง ๆ การเรียนรู้ การฝึกปรือ การใช้ภาษา การเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ ดังนั้นการสังเกตความเปลี่ยนแปลงหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก



อาการเบื้องต้นของผู้ที่มีภาวะอัลไซเมอร์ในคนอายุน้อยหรือวัยทำงาน สามารถสังเกตได้ง่าย เช่น
  1. ชอบถามคำถามเดิม ซ้ำ ๆ
  2. ความจำสั้น หลงลืมบ่อย ลืมเรื่องง่าย ๆ อย่างสถานที่ที่เพิ่งไปมา
  3. ลืมนัดสำคัญ ลืมวันสำคัญ ลืมวันเดือนปี หรือลืมแม้กระทั่งวันเกิดตัวเอง
  4. ต้องคอยมีคนเตือนให้ทำกิจกรรมที่จำเป็น
  5. เศร้าหมอง ซึม ไม่ค่อยพูดจา ร้องไห้บ่อย แยกตัวออกจากสังคม
  6. เริ่มมีความยุ่งยากในการคิดเลข คิดเงิน หรือจัดการดูแลเงินทองไม่ได้
  7. ไม่สนใจกิจกรรมที่เคยชอบทำ ไม่สนใจงานอดิเรกที่เคยทำ
  8. เริ่มจะต้องการให้มีคนคอยช่วยเหลือในกิจวัตรประจำวัน เช่น การกินอาหาร
  9. เริ่มมีปัญหาเรื่องทิศทาง จำทิศทางไม่ได้ ขับรถหลง ขับอันตรายไม่ปลอดภัย ผิดพลาดในการกะระยะ
  10. หงุดหงิด วีนง่าย ช่างสงสัย และเริ่มเห็น ได้ยิน เชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นจริง
  11. บุคลิกภาพเปลี่ยน เช่น พูดไม่ได้ใจความ บางครั้งพูดติดขัด หรือเรียกชื่อคนสิ่งของไม่ถูก พูดไม่จบประโยค
คนปกติคะแนนรวม < 4 แต่หากอยู่ในข่ายสงสัยว่าจะมีภาวะอัลไซเมอร์จะมีคะแนนรวม > 4

ปลดล็อกสมองล้า ป้องกันปัญหาภาวะสมองเสื่อมอัลไซเมอร์
เพราะอัลไซเมอร์เป็นแล้ว ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถชะลอความเสื่อมของเซลล์สมองได้ในกรณีที่สังเกตอาการ พฤติกรรมและตรวจพบแต่เนิ่น ๆ  รวมไปถึงการปกป้องดูแลสมองไม่ให้มีภาวะอัลไซเมอร์ที่ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ด้วยการ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว, หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์, มีกิจกรรมฝึกสมอง, อารมณ์ดีไม่เครียด, ระวังการเกิดอุบัติเหตุทางสมอง, ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และกินอาหารบำรุงสมองที่มีประโยชน์ต่อระบบประสาทและสมอง ช่วยเสริมสร้างการทำงานของเซลล์สมอง หรือวิตามินบำรุงสมองที่จำเป็นในผู้ที่สมองล้า ขี้ลืมบ่อย เสี่ยงโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ ได้แก่...



1. พรมมิ บำรุงสมองป้องกันอัลไซเมอร์

พรมมิ (Bacopa) มีสรรพคุณที่มีส่วนช่วยในผู้ที่มีอาการสมองล้า ขี้ลืมบ่อย และในผู้ที่เสี่ยงโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ โดยเฉพาะในทางการแพทย์อายุรเวทของอินเดียใช้คุณประโยชน์ของพรมมิในเรื่องของการเพิ่มความจำ ฟื้นฟูความจำ บำรุงสมอง ซึ่งมีงานวิจัยรองรับมากมาย โดยพรมมิได้ถูกนำมาศึกษาทั้งในประเทศอินเดีย ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และประเทศไทยโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่ได้ประกาศให้ทุนวิจัยในลักษณะบูรณาการเพื่อวิจัยและพัฒนาสมุนไพรไทย เมื่อปี พ.ศ. 2548

พบว่าคุณค่าของพรมมินั้นมีมากกว่าการเป็นต้นพืชริมตลิ่ง ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพด้านความจำ การเรียนรู้ของสมอง ลดอาการหลงลืม โดยมีการศึกษาทั้งในด้านของวัตถุดิบที่เป็นต้นผักมิหรือต้นพรมมิ, สารสกัดพรมมิ (Bacopa Extract), สารผสมซาโปนิน (saponins) ที่ได้จากพืชพรมมิ ที่เรียกว่า bacoside A และในรูปแบบของสารบริสุทธิ์ ศึกษากลไกการออกฤทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องระบบประสาทและสมองของพรมมิ รวมถึงการศึกษาพิษวิทยาของสารสกัดพรมมิ และการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอื่น ๆ ในพรมมิ และได้เห็นถึงองค์ประกอบทางเคมี ทางเภสัชวิทยาและความปลอดภัยของสมุนไพรพรมมิ ทั้งในระดับห้องทดลอง สัตว์ทดลองและคน 

ประโยชน์ของสารสำคัญในพรมมิ
 
  • พรมมิ บำรุงสมอง ช่วยเพิ่มความจำ พรมมิมีสารสำคัญที่อยู่ในกลุ่มอัลคาลอยด์ ได้แก่ ซาโปนิน (Saponin), ไตรเทอร์ปีน (Trierpenes), บาโคไซด์ เอ (Bacosides A), บาโคไซด์ บี (Bacosides B), บาโคซัปโปไนน์ดี (Bacosaponines D), ที่มีส่วนช่วยเพิ่มปริมาณของเซลล์ประสาทคอลิเนอร์จิก (Cholinergic Neuron) ซึ่งทำหน้าที่ในการกระตุ้นสารสื่อประสาทแอซิติลโคลีน (Acetylcholine) ช่วยให้การทำงานของสารสำคัญต่าง ๆ ในระบบประสาทและสมองมีความต่อเนื่อง ช่วยให้กระบวนการคิด การประมวลผล และความจำดีขึ้น
มีผลการศึกษาที่ได้วิจัยประสิทธิภาพของสารสกัดพรมมิที่มีต่อระบบความจำในกลุ่มนักศึกษาแพทย์ (อายุ 19 - 22 ปี) เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ผลการประเมินความทรงจำด้วยการ digit span test (เป็นแบบทดสอบที่นำมาใช้พูดทวนซ้ำชุดตัวเลข เพื่อทดสอบปัญญาในด้านความจำ) และ logical memory test (แบบทดสอบทางประสาทจิตวิทยาในส่วนที่เกี่ยวกับความจำข้อมูลที่เป็นเรื่องราว)

มีผลการศึกษาที่ได้วิจัยประสิทธิภาพของพรมมิในการทดสอบความจำของกลุ่มวัยกลางคน (อายุ 40 - 65 ปี) พบว่า พรมมิมีผลต่อการเก็บข้อมูลใหม่ด้วยวิธี Delayed recall of the word pairs (การทดสอบความจำข้อมูล)
มีผลการศึกษาที่ได้วิจัยประสิทธิภาพของพรมมิต่อระบบความจำและการเรียนรู้ในกลุ่มอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี (อายุ 18 - 60 ปี) พบว่า พรมมิมีส่วนช่วยเพิ่มกระบวนการประมวลภาพ (visual processing speed by IT task) รวมถึงอัตราการเรียนรู้และกระบวนการเกิดความจำ (learning rate and memory consolidation by AVLT)

 
  • พรมมิ ยับยั้งการทำลายเซลล์ประสาทและสมอง พรมมิอุดมไปด้วยสาร Bacoside ที่มีคุณสมบัติเป็นสารพฤกษเคมีที่มีส่วนสำคัญต่อระบบประสาท โดย Bacoside  ในพรมมิมีส่วนช่วยยับยั้งไม่ให้อนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่ชื่อเอนไซม์แอซิติลโคลีนเอสเตอเรส (Acetylcholinesterase) เข้าไปทำลายเซลล์ประสาทและสมอง รวมทั้งสารบาโคไซด์ (Bacosides) ยังมีส่วนช่วยในการยับยั้งปฏิกิริยาของเยื่อหุ้มเซลล์และสารก่อโรคพรีออนโปรตีน (PrP) ทำให้สามารถลดความรุนแรงและการเป็นพิษของโปรตีน เบต้า-อะไมลอยด์ (beta-amyloid) หนึ่งในสาเหตุหลักของการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้
  • พรมมิมีส่วนช่วยขยายหลอดเลือดในสมอง พรมมิมีส่วนช่วยในการขยายขนาดของหลอดเลือดในสมอง ทำให้เกิดการหมุนเวียนเลือดที่ดีขึ้น ส่งผลให้ออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น สู่การทำให้เซลล์สมองแข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • พรมมิช่วยผ่อนคลายและบรรเทาความเครียด พรมมิช่วยบรรเทาและผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน ลดหรือคลายความวิตกกังวล เพราะสารสำคัญในพรมมิมีส่วนช่วยลดระดับของฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ตัวการทำให้เกิดความเครียดความกังวล
  • พรมมิช่วยลดการอักเสบ พรมมิออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งสารไซโตไคน์ (Cytokines) ซึ่งเป็นสารสำคัญในกลุ่มโปรตีนที่หลั่งออกมาจากเซลล์ ซึ่งหากเซลล์มีภาวะการหลั่งสารไซโตไคน์ออกมามากจนเกินไป หรือที่เรียกว่าพายุไซโตไคน์ จะส่งผลด้านลบต่อเซลล์และก่อให้เกิดการอักเสบที่อาจส่งผลทำให้ระบบอวัยวะต่าง ๆ ภายในล้มเหลวได้

สารสำคัญในพรมมิมีคุณประโยชน์ต่อเซลล์ประสาทและสมอง เติมเต็มสมรรถภาพทางสมองและความจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งยังมีผลการศึกษาวิจัยอีกจำนวนหนึ่งที่ยืนยันว่า พรมมิมีส่วนช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในด้านความจำและการทำงานของระบบการเรียนรู้ทั้งในกลุ่มวัยรุ่น วัยกลางคน และกลุ่มผู้สูงอายุที่เริ่มมีปัญหาทางการทำงานของสมอง (ช่วงอายุ 18-60 ปี)



2.โสมเกาหลี มีประโยชน์บำรุงสมอง

โสมเป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้เป็นยารักษาโรคมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชียที่เชื่อว่าโสมเกาหลีมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคทางระบบประสาทและสมอง เช่น โรคหลอดเลือดในสมอง อัลไซเมอร์ หรือความผิดปกติของระบบประสาทชนิดเฉียบพลันหรือชนิดเรื้อรังอื่น ๆ โดยรากของโสมเกาหลีมีสารสำคัญที่ชื่อว่า จินเซ็นโนไซด์ (Ginsenosides) ที่มีมากกว่า 150 ชนิดและพบได้ในโสมเท่านั้น ที่สำคัญ มีคุณประโยชน์มากมายต่อสมองของเรา อีกทั้งยังมีส่วนช่วยบรรเทาภาวะเครียดจากออกซิเดชัน (Oxidative Stress) หรือมีส่วนช่วยป้องกันและบรรเทาความเสียหายของเซลล์ประสาทที่เป็นผลมาจากโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย

มีผลการศึกษามากมายที่เกี่ยวข้องกับสมอง พบว่าเซลล์ประสาทและสมองมีแนวโน้มที่จะถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่มาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น จาการใช้ชีวิตประจำวันที่เสี่ยงต่อการได้รับมลพิษ การกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ การขาดวิตามินบี12 และพบว่าสมองของคนเราเริ่มเกิดความเสื่อมจากวัย (Age related cognitive decline) โดยเริ่มตั้งแต่อายุเพียง 20 - 30 ปีเท่านั้น โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงาน และจากผลการศึกษาต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ค้นพบความลับของสารสำคัญในโสมเกาหลี ดังนี้
 
  • โสมเกาหลี ดีต่อระบบการเรียนรู้และการจดจำ สารจินเซ็นโนไซด์ ชนิด Rb1 ในโสมเป็นสารสำคัญที่มีฤทธิ์ต่อต้านสารอนุมูลอิสระที่จะมาทำลายเซลล์สมองให้เสื่อมโทรม มีส่วนช่วยส่งเสริมการทำงานของสารสื่อประสาทในสมองและระบบประสาทส่วนกลางที่มีชื่อว่า อะเซทิลโคลีน (Acetylcholine) ที่ส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาท Cholinergic มีความเกี่ยวข้องกับระบบการจดจำและเรียนรู้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารสื่อประสาท GABA ในสมองให้ผ่อนคลายความวิตกกังวล เสริมสร้างสมาธิตลอดจนกระบวนการคิดและประมวลผลข้อมูล
  • โสมเกาหลี ช่วยลดภาวะความเครียด สารจินเซ็นโนไซด์ ชนิด Rb1 ในโสม ออกฤทธิ์ต่อสารสื่อประสาทเซโรโทนิน (Serotonin) ฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่เป็นสารเคมีแห่งความสุข ความเศร้า โดยช่วยลดภาวะความเครียดเรื้อรังในสมอง ส่งผลให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
  • โสมเกาหลี ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองดีขึ้น สารจินเซ็นโนไซด์ ชนิด Rb1 ในโสมเกาหลี มีส่วนช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ผนังหลอดเลือด  ยับยั้งการแข็งตัวของผนังหลอดเลือด ส่งผลให้เกิดการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี มีส่วนช่วยในการป้องกันเซลล์ประสาทของสมองส่วน hippocampus จากภาวะการขาดเลือด (Ischemic) ได้อีกด้วย

สารจินเซ็นโนไซด์ แต่ละชนิดมีผลต่อสมองด้วยระบบกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน เช่น ชะลอและป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ประสาท (apoptosis) ความผิดปกติของไมโตคอนเดรีย (mitochondria dysfunction) ลดการสะสมของโปรตีนเบต้า-อะไมลอยด์ โดยช่วยลดการเกิดของอนุมูลอิสระ ROS ซึ่งจากข้อสรุปหรือการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พบว่าโสมเกาหลีมีประโยชน์ต่อสมอง สุขภาพและคุณภาพชีวิต ทั้งในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงปกติทั่วไปหรือผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมได้จริง แต่ก็ยังจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันคุณประโยชน์ของโสมบำรุงสมองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น



3. วิตามินบำรุงสมอง

รู้ไหมว่า สาเหตุของการเกิดอาการสมองล้า ขี้หลงขี้ลืม และมีภาวะสมองเสื่อมนั้นมีสาเหตุมาจากการที่สมองเกิดความเสียหายหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงจนกระบวนการทำงานของระบบประสาทและสมองเสื่อมลง การขาดวิตามินบี 12 อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุในการเกิดภาวะเสื่อมถอยต่าง ๆ เหล่านี้

วิตามินบี12 หรือโคบาลามิน (Cobalamin) เป็นวิตามินชนิดที่ละลายได้ในน้ำ มีแร่ธาตุโคบอลท์เป็นองค์ประกอบ ส่วนใหญ่แล้วจะพบในอาหารจำพวก เนื้อสัตว์ ปลา ปู กุ้ง หอย ไข่ นม เครื่องในสัตว์ นม ผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น ซึ่งวิตามินบี12 นั้น มีบทบาทสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์สารพันธุกรรม (DNA และ RNA) รวมทั้งสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย สังเคราะห์โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง โดยเร่งปฏิกิริยาสังเคราะห์ methionine เพื่อสร้างสารสื่อประสาทและการส่งสัญญาณประสาท หากขาดวิตามินบี12 อาจเสี่ยงต่อโรคทางระบบประสาทและสมองได้

จะมีอาการอย่างไรเมื่อร่างกายขาดวิตามินบี12
  • การทำงานของระบบประสาทผิดปกติ มีอาการสมองล้า การรับรู้ช้าลง หลงลืมได้ง่าย
  • มีอาการซีดจากภาวะโลหิตจาง หรือมีอาการตัวเหลือง
  • มีอาการชาตามปลายมือและปลายเท้า
  • มีอาการอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรง
  • มีความรู้สึกเบื่ออาหาร
(แต่ผู้ที่มีปริมาณวิตามินบี12 ในเลือดต่ำส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ อาการเหล่านี้จะพบได้ในบางรายเท่านั้น)

ซึ่งสาเหตุของภาวะร่างกายขาดวิตามินบี12 นั้นล้วนมาจาก กินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์น้อยลง กินอาหารมังสวิรัติเป็นเวลานาน และในผู้สูงอายุที่กินอาหารได้น้อย
และเนื่องจากร่างกายคนเราไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินบี12 ได้เอง จึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินบี12 ผ่านทางอาหารหรืออาหารเสริมจำพวกวิตามินบำรุงสมองเท่านั้น หากเราได้รับวิตามินบี12 ไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดภาวะการขาดวิตามินบี12 ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้

เพราะทุกคนก็ต้องการมีสมองสมบูรณ์ดีอยู่กับตัวเองให้นานที่สุด การให้ความสำคัญกับอาหารบำรุงสมอง ด้วยการเลือกสารอาหารที่เหมาะสมร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ช่วยให้มีสมองที่เปี่ยมประสิทธิภาพอยู่กับเราไปตราบนานเท่านาน
 
ที่มา:
[1] รู้เท่าทันโรคสมองเสื่อม / คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
[2] สมองล้า ขี้ลืมบ่อย เสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อม / สสส
[3] ลืมง่าย จำยาก เสี่ยงอัลไซเมอร์
[4] อัลไซเมอร์กับภาวะสมองเสื่อม / รพ.เอกชัย
[5] 5 สัญญาณเตือนเสี่ยงอัลไซเมอร์ 
[6] พรมมิ สมุนไพรบำรุงความจำ / สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยนเรศวร
[7] ฐานข้อมูลสมุนไพร  คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
[8] พรมมิ สมุนไพรพื้นบ้านบำรุงสมองที่รักคนสุขภาพไม่ควรมองข้าม / GPOPLANETองค์การเภสัชกรรม 
[9] ผลทางเภสัชวิทยาของสารจินเซ็นโนไซด์ในโสม / วารสารพยาบาลทหารบก
[10] โสม กับคุณประโยชน์ทางการแพทย์
[11] การขาดวิตามิน บี 12
[12] วิตามินบี12 / สำนักโภชนาการ
แชทผ่านไลน์ @Liveandfit